D-HOUSE คือ นักวิจัย: นักวิจัย กลุ่มโครงการ PPP ประชารัฐ ภาคเอกชน ประธาน คือ ดร.สมัย เหมมั่น บริหารสินทรัพย์ DHG โครงการ อุตสาหกรรมเมืองมหาชัย กลุ่ม อุตสาหกรรมเมืองมหาชัยและอสังหาริมทรัพย์ จำกัด
วิเคราะห์รูปแบบ การตั้งของอโรคยาศาลได้ 3 รูปแบบ แนวคิดการสร้าง โครงการซีเนี่ยร์คอมเพล็กซ์ ไทย ดร.สมัย เหมมั่น
ความสัมพันธ์ระหว่างศาสนสถานประจําอโรคยาศาลกับการใช้
พื้นที่ในอดีต (พุทธศตวรรษที่ 18-20)
ถือเป็นช่วงเวลาที่รุ่งเรืองท่ีสุดของอโรคยาศาล ช่วงเวลานี้เริ่มจากการ
สถาปนาอโรคยาศาลท่ีสนองพระราชดําริของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ส่งเสริม
นโยบายการประกันสุขภาพกับการเผยแพร่ศาสนาพุทธแบบมหายานไปทั่ว
พระราชอาณาจักรของพระองค์ จนถึงช่วงเวลาหลังรัชสมัยของพระเจ้า
ชัยวรมันที่ 7 ราวพุทธศตวรรษที่ 20 ที่อโรคยศาลเริ่มขาดการดูแลและ
สนับสนุนจากภาครัฐคือเมืองพระนคร จากการสํารวจภาคสนามอโรคยาศาล
จํานวน 12 แห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทําให้สามารถวิเคราะห์รูปแบบ
การตั้งของอโรคยาศาลได้ 3 รูปแบบ ดังนี้
1. ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองโบราณที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่
ช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย พัฒนามาสู่ช่วงสมัยทวารวดีจน
ได้รับวัฒนธรรมขอมเข้ามาในพ้ืนท่ีช่วงพุทธศตวรรษที่ 16-18
ชุมชนโบราณในลักษณะน้ีจะมีขนาดของชุมชนขนาดกลางไปจนถึง
ขนาดใหญ่ มีการตั้งถิ่นฐานมายาวนานต้ังแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์พบโครง
กระดูกโบราณที่แสดงถึงการอยู่อาศัยในพื้นที่นี้มาเป็นระยะเวลายาวนาน
เริ่มแรกจะมีการนับถือศาสนาพุทธเถรวาท บางพื้นที่พบซากสถูปโบราณเป็น
จํานวนมาก เช่น ที่นครจําปาศรีตั้งอยู่ใกล้กับกู่สันตรัตน์จ.มหาสารคาม พบ
ซากโบราณสถานที่เป็นสถูปเจดีย์โบราณเป็นจํานวนมาก ต่อมาเมื่อวัฒนธรรม
ขอมเข้ามาจึงเริ่มรับวัฒนธรรมพราหมณ์ฮินดูเข้ามาผสมผสานกับการนับถือ
พุทธศาสนา พบว่าบางพ้ืนที่จะมีการสร้างเทวาลัยขึ้นภายในเมือง
ชุมชนมีลักษณะแผนผังการตั้งเมืองเป็นรูปวงกลมหรือรูปวงรีสัณฐาน
ของเมืองท่ียังคงปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบันในหลายพื้นท่ีมีการขุดคูน้ํารอบ
เมืองเพ่ือใช้ในการเกษตรกรรมภายในชุมชน พบว่าการตั้งถิ่นฐานเริ่มต้น
ส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ดอน เมื่อชุมชนเร่ิมขยายตัวในช่วงเวลาต่อมาจึงมีการ
กระจายการตั้งถิ่นฐานออกมาโดยรอบ บางพ้ืนที่มีการขุดคูนาล้ํ ้อมรอบเพ่ิมเติม
จากของเดิมที่มีอยู่เดิม ชุมชนลักษณะนี้จึงเหมาะต่อการสร้างอโรคยาศาลเป็น
อย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นชุมชนใหญ่ที่มีการตั้งถิ่นฐานมาอย่างยาวนาน มีประชากร
ในเมืองเป็นจํานวนมาก จึงมีความจําเป็นต่อการรักษาพยาบาล หากวิเคราะห์
ความสําคัญนัยยะทางการเมืองของพระเจ้าชัยวรมันท่ี 7 ชุมชนใหญ่ดังกล่าว
เป็นพื้นท่ีที่มีความสําคัญทางยุทธศาสตร์หากได้รับประโยชน์จากนโยบายของ
ส่วนกลางแล้วก็จะทําให้เกิดการสร้างความเป็นเป็นปึกแผ่นของอาณาจักรของ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ได้อย่างมั่นคงขึ้น
หน้าจั่ว ฉ. 12 2558 | 53
2. ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองโบราณที่เริ่มมีการตั้งถ่ินฐานขึ้นในช่วง
วัฒนธรรมขอมรุ่งเรือง ราวพุทธศตวรรษที่ 16-18
พบว่าชุนชนในลักษณะนี้จะมีขนาดของชุมชนทั้งขนาดกลางไปจนถึง
ขนาดใหญ่ มีประชากรเป็นจํานวนมาก มีการสร้างปราสาทหรือเทวาลัยใน
เขตพื้นท่ีเมือง บางพื้นท่ีมีการสร้างมากกว่าหนึ่งหลัง ขนาดและรูปแบบทาง
สถาปัตยกรรมของเทวาลัยจะมีลักษณะแตกต่างกันออกไปตามความนิยมของ
ยุคสมัยที่สร้าง บางพื้นท่ีมีรูปแบบการสร้างที่ได้รับวัฒนธรรมมาจากช่างหลวง
จากเมืองพระนครโดยตรง แสดงให้เห็นถึงความสําคัญของเมืองนั้นๆ แต่บาง
พื้นท่ีมีรูปแบบศิลปะพื้นถิ่นเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมช่างหลวงซึ่งอาจเป็น
เมืองบริวาร แรกเริ่มประชาชนจะนับถือศาสนพราหมณ์ฮินดูที่ได้รับการ
เผยแพร่มาจากเมืองพระนครทั้งโดยตรงและโดยอ้อม พบว่ามีบางแห่งมีการ
สร้างรูปเคารพทางศาสนาพราหมณ์เป็นจํานวนมาก เช่น พื้นที่ชุมชนโบราณ
เมืองต่ํา จ.บุรีรัมย์และชุมชนเมืองพิมาย จ.นครราชสีมา เป็นต้น นอกจาก
ความเชื่อด้านศาสนาแล้วยังมีการระบบชลประทานที่สําคัญของเมืองเพ่ือ
หล่อเลี้ยงประชากรในเมือง มีการขุดสระนาหร ้ํ ือบารายขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บ
น้ําไว้ใช้ในฤดูแล้งหรือเพ่ือใช้ในการเกษตร พบว่ามีการศึกษาเรื่องการ
ชลประทานอย่างเป็นระบบ
ต่อมาในช่วงพุทธศตวรรษที่ 18 เมื่อมีนโยบายการสถาปนาอโรคยาศาลทั่วพระราชอาณาจักรของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ขึ้น การสร้างอโรคยาศาล
ในพื้นที่ดังกล่าวจึงมีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นชุมชนที่มีวัฒนธรรม
ความเชื่อที่ใกล้เคียงและมีความสัมพันธ์ทางด้านการปกครองกับเมืองพระนคร
อย่างใกล้ชิด การสร้างอโรคยาศาลตามชุมชนในลักษณะน้ีมักจะปรากฏว่า
จะสร้างกระจายกันไปตามพ้ืนที่ต่างๆ ในระยะทางที่สามารถสัญจรได้สะดวก
เพื่อที่จะทําให้สามารถรองรับการรักษาของประชาชนได้กว้างขวางมากขึ้น
ดังท่ีเมืองพระนครจะพบว่ามีการสร้างอโรคยาศาลขึ้นบริเวณมุมทั้งสี่ของแนว
กําแพงเมืองที่เมืองพระนครหลวง เพ่ือรองรับการรักษาของประชากรที่อยู่
ภายในเมืองหลวง และบริเวณด้านทิศใต้นอกเมืองพระนครหลวง ห่างกําแพง
เมืองประมาณ 1 กิโลเมตร ตรงเส้นทางสัญจรหลักที่เข้าสู่พระนครหลวง
พบศาสนสถานประจําอโรคยาศาลอีกแห่งมีชื่อว่า ปราสาทตาพรหมเกล สร้าง
ขึ้นเพื่อรองรับการรักษาของประชาชนในพื้นที่นครวัดและชุมชนโดยรอบเขา
พนมบาแค็งที่เป็นราชธานีเดิมของอาณาจักรขอม
ชุมชนในวัฒนธรรมขอมท่ีมีการวางผังที่เชื่อมโยงกับเมืองพระนคร
หลวงในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยพบตัวอย่างที่ชัดเจนอีกแห่ง
คือท่ีเมืองพิมาย พบว่ามีการสร้างอโรคยาศาลคือกุฏิฤาษีขึ้นบริเวณทิศใต้นอก
เมืองพิมาย ห่างประตูเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร ตรงเส้นทางหลักที่เข้าสู่
เมืองพิมาย เพื่อรองรับการรักษาประชาชนที่มาจากชุมชนโดยรอบ จากการ
วิเคราะห์กรณีศึกษาที่ผ่านมาพบว่า ตําแหน่งที่ต้ังของอโรคยาศาลในกลุ่มนี้
54 | หน้าจั่ว ฉ. 12 2558
มักจะตั้งในพ้ืนที่ที่ใกล้กับชุมชน หรือใกล้กับเทวาลัยที่สําคัญของเมืองท่ีสร้าง
มาก่อนหน้านี้พื้นท่ีตั้งจะต้องตั้งอยู่บริเวณทางสัญจรหลักท่ีสามารถเดินทาง
จากชุมชนหรือพื้นท่ีโดยรอบได้โดยสะดวกเช่นกัน เช่น กุฏิฤาษีหนองบัวราย
ที่ตั้งอยู่เชิงเขาพนมรุ้ง, กุฏิฤาษีบ้านโคกเมือง ที่ใกล้กับปราสาทเมืองต่ํา
จ.บุรีรัมย์และกู่โพนระฆัง ที่ใกล้กับกู่กาสิงห์จ.ร้อยเอ็ด เป็นต้น
3. ตั้งอยู่ในพื้นที่เมืองชุมทาง จุดเชื่อมต่อของเส้นทางสัญจรหลัก
ทั้งทางบกและทางนา้ํ
ชุมชนในลักษณะนี้เป็นชุมชนที่มีความสําคัญ แม้ว่าขนาดของชุมชน
จะไม่มีขนาดใหญ่มากนักเม่ือเทียบกับ 2 รูปแบบแรกที่ผ่านมา แต่เป็นจุด
เชื่อมต่อที่สําคัญที่สามารถเดินทางไปสู่ชุมชนต่างๆ ได้โดยสะดวก ส่วนใหญ่
เป็นชุมชนที่มีการตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจาย มีการรวมกลุ่มแบบหลวมๆ แต่
สามารถสัญจรไปมาหากันได้โดยสะดวก รูปแบบนี้บางพื้นที่จะเป็นชุมชน
โบราณที่อยู่ร่วมสมัยตั้งแต่ก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย ไปจนถึงสมัยพุทธศตวรรษท่ี 18 ที่มีการอยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง เช่น พื้นท่ีปรางค์กู่ จ.ชัยภูมิ
และปราสาทโคกงิ้ว จ.บุรีรัมย์แต่บางพื้นท่ีก็เป็นชุมชนที่เกิดขึ้นในช่วง
พุทธศตวรรษท่ี 15-18 เช่น ชุมชนกู่ประภาชัย จ.ขอนแก่น และกู่คันธนาม
จ.ร้อยเอ็ด
จะพบว่าตําแหน่งท่ีตั้งของอโรคยาศาลในกลุ่มน้ีมักจะต้ังบริเวณทาง
สัญจร หรือชุมทางหลักท่ีเชื่อมต่อไปสู่เมืองใหญ่ สามารถเดินทางเชื่อมระหว่าง
อโรคยาศาลในแต่ละแห่งได้โดยสะดวก พบว่าไม่ค่อยอิงกับพื้นท่ีชุมชนหลัก
มากเท่าท่ีควร สาเหตุสันนิษฐานได้ว่ามาจากเพื่อการกระจายความเจริญ และ
ประสิทธิภาพในรองรับการรักษาพยาบาลไปสู่ชุมชนต่างๆ ได้โดยทั่วถึงตาม
ปณิธานของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ในส่วนการวิเคราะห์การใช้พื้นที่อโรคยาศาล สามารถแบ่งพื้นท่ีใช้
สอยได้เป็น 2 ส่วน คือส่วนพ้ืนที่ศาสนสถานประจําอโรคยาศาล พื้นที่นี้เป็น
พื้นท่ีหลงเหลือให้เห็นมากที่สุดในปัจจุบัน ที่ประกอบไปด้วยปราสาทประธาน
โคปุระ บรรณาลัย กําแพงแก้ว กับพื้นท่ีส่วนท่ี 2 คือพ้ืนที่ส่วนรักษาพยาบาล
ปัจจุบันเหลือเพียงส่วนสระนาศ้ํ ักดิ์สิทธิ์เท่านั้น โรงเรือนรับรองต่างๆ พื้นที่
ส่วนนี้ไม่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน
พื้นท่ีส่วนศาสนสถานประจําอโรคยาศาลถือเป็นพื้นที่ที่มีความสําคัญ
ที่สุดในอโรคยาศาล เป็นการสร้างถวายแด่เทพที่ประดิษฐานภายใน จึงสร้าง
ด้วยวัสดุที่คงทนถาวร เช่น ศิลาแลงและหินทราย เป็นต้น จากการสํารวจพื้นที่
กรณีศึกษาท้ัง 12 แห่งที่ผ่านมาพบว่า ในแต่ละแห่งนั้นมีรูปแบบสถาปัตยกรรม
เทคนิคการก่อสร้าง รวมถึงขนาดของตัวศาสนาสถานประจําอโรคยาศาลที่
ต่างกันเล็กน้อย ทั้งหมดยังคงลักษณะรูปแบบที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน การ
สร้างอโรคยาศาลบางแห่งสันนิษฐานว่าสร้างด้วยช่างจากเมืองพระนคร
รูปแบบสถาปัตยกรรมก็จะมีลักษณะและลวดลายการแกะสลักที่สวยงามตาม
หน้าจั่ว ฉ. 12 2558 | 55
แบบฉบับช่างหลวง เช่น ที่ปรางค์กู่ จ.ชัยภูมิที่พบทับหลังศิลปะบายนรูปแบบ
ใกล้เคียงกับที่ปราสาทพระขรรค์ในเมืองพระนคร และภาพแกะสลักบริเวณ
หน้าบันปราสาทประธาน และอาคารบรรณาลัยที่เป็นเรื่องราวของพระโพธิสัตว์
อวโลกิเตศวรและเรื่องราวพุทธประวัติมีเทคนิคการแกะสลักใกล้เคียงกับท่ี
ปรากฏในอโรคยาศาลท่ีเมืองพระนครหลวง บางแห่งก็มีการสร้างผสมผสาน
ไปกับลักษณะของท้องถิ่น แต่ยังคงรูปแบบมาตรฐานของศาสนสถานประจาํ
อโรคยาศาลไว้อย่างครบถ้วน แม้จะไม่พบการแกะสลักลวดลายใดๆ ในตัว
ปราสาทและอาคารประกอบเลยก็ตาม บางพื้นท่ีพบว่ามีการนําองค์ประกอบ
ประดับอาคารที่มีรูปแบบสมัยที่อยู่ก่อนหน้านี้ไปใช้ในการก่อสร้างศาสนสถาน
ประจําอโรคยาศาล เช่น ทับหลังสมัยบาปวนที่พบบริเวณปราสาทสระกําแพง
น้อย จ.ศรีสะเกษ หรือนาคมุมศิลปะบาปวนประดับอยู่บริเวณเรือนธาตุตัว
ปราสาทที่ปราสาทช่างปี่ จ.สุรินทร์และกุฏิฤาษีบ้านโคกเมือง จ.บุรีรัมย์
เป็นต้น สันนิษฐานว่าองค์ประกอบดังกล่าวอาจถูกเคลื่อนย้ายมาจากพื้นที่
ปราสาทใกล้เคียงโดยรอบที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์แล้ว แล้วนํามาติดต้ังใหม่ที่
ศาสนสถานประจําอโรคยาศาลนั้น เพ่ือเป็นการประหยัดเวลาและความ
สะดวกในการสร้าง
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ดร. สมัย เหมมั่น ประธารบริหารโครงการ
ตอบลบนาย วินิช ชัชวาลย์ ที่ปรึกษาโครงการด้านเทคนิค
นาย ชัยวุฒิ แสงมณี ที่ปรึกษาโครงการด้านการเงิน
นาย ชิตโชค สิงหรา ที่ปรึกษาโครงการด้านกฎหมาย
สมาคมตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หนองเสือ ที่ปรึกษาปรัชญา
D – HOUSE GROUP กลุ่มนักวิจัยและแผนธุรกิจโครงการ
บริษัท ไทยเพิ่มสุข จำกัด บริหารโครงการ
บริษัท ระนองเพิ่มสุข จำกัด บริหารการก่อสร้าง
บริษัท ไทยซีเนียร์คอมเพล็กซ์ จำกัด บริหารงานก่อสร้าง
บริษัท อุตสาหกรรมเมืองมหาชัยและอสังหาริมทรัพย์ จำกัด บริหารงานนิติบุคคล
และคณะ บริหารร่วมทุนโครงการ
1.พลโท สัมพันธ์ ศรีราชบัวผัน ประธานบริหาร ฝ่ายก่อสร้าง บริษัท ร่วมค้าไทย+จีน
2.นาย อัครพงษ์ วงศ์จินดาโชติ ประธานบริหาร ฝ่ายการเงินการลงทุน บริษัท ร่วมค้าไทย+สิงคโปร์ 3.นส.ธัญญาภัทร์ ปัญญา รองประธานบริหาร ฝ่ายการเงินการลงทุน บริษัท ร่วมค้าไทย+สิงคโปร์
4.นาย มูซา สุนหลัก ประธานบริหาร ฝ่ายการเงินการลงทุน บริษัท กระบี่เพิ่มสุข กรุ๊ป จำกัด